เรื่องเล่าจาก Murcia

พูดคนละภาษาก็เหมือนคนใบ้

หลังจากที่เงี่ยหูฟังนังสองสาวหัวดำกับหัวทองอยู่นาน ก็จับใจความได้ว่านังสองคนนี้กำลังพร่ำเรื่องสงครามระหว่างรัสเวียลัยูเครนยูเครนได้ ลุงดีใจเป็นที่สุดที่ฟังรู้เรื่อง เพราะอยู่ที่นี่มาสิบกว่าวันยังฟังและพูดกับใครไม่รู้เรื่องเลย

ทานอาหารเสร็จลุงก็รีบปรี่เข้ามาแนะนำตัว และชวนดินเนอร์ บ๊ะ! มีผู้ชายมาชวนเดตสองต่อหนึ่งในสเปน แน่ซะที่ไหนล่ะ โชคร้ายไปหน่อยที่นังหัวดำสาวไทยกำลังจะกลับมาตุภูมิเที่ยงคืนนี้พอดี ลุงเลยจากไปด้วยความผิดหวังนิดหน่อย

ลับหลังไม่ทันคลาดสายตา เราก็เมาท์กันว่า ทำไมไม่ชวนแกกินข้าวเย็น ยังไงก็มีเวลาหลายชั่วโมงก่อนเที่ยงคืน ด้วยความเห็นใจลุงวัยเกษียรณ ที่มาทำวิจัยกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยในมูเซียร์ แต่ก็ได้แต่ทำวิจัยอยู่คนเดียว นอกรอบเพื่อนแกกลับไม่ค่อยเทคแคร์ปล่อยตามมีตามเกิด คงเห็นว่าแกมาที่นี่ทุกปี คงจะชินจนเกือบเป็นบ้านหลังที่สอง

ยังไม่รู้จะชวนแกยังไง ได้แต่ภาวนาว่า ถ้าเผอิญเดินผ่านกันหน้าล๊อบบี้โรงแรม อาจจะเอ่ยปากชวน ไม่ทันสิ้นความคิดของนังสองสาว พี่แก เดินเข้ามาที่โต๊ะกินข้าวอีกครั้งพร้อมนามบัตรจ้า ก็เป็นอันได้นัดกันน่ะสิ รออะไร

หกโมงเย็นหลังเช็กเอาท์โรงแรม อีสาวไทยผู้ขี้เกียจเดินเป็นทุนเดิม ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็ก เดินผ่าดาวน์ทาวน์ของมูเซียร์ โดยไม่สนใจคำของเพื่อนสาวรัสเซีย และลุงฮังการี (ที่ไปทำงานอยู่อเมริกา จนได้สัญชาติ) ว่าให้ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม “ก็ฉันไม่อยากเดินไปเดินมา” ชาวตะวันตกสองคนไมเข้าใจในวัฒนธรรมการขี้เกียรจเดินของสาวไทย แม้จะคะยั้นคะยอมากแค่ไหน ก็จนใจต้องยอม “เรื่องของมึง กูไม่ช่วยถือนะ” ลุงแกคงคิดในใจ (จริง ๆ ภายนอกลุงแกสุภาพมาก ใส่ความคิดให้แกซะหยาบเลย ฮ่าฮ่า)

เราเดินชมเมืองที่เดินไปมาแล้วสองสามในรอยสองสามที่อยู่ที่นี่ แต่รอบนี้ ด้วยความที่ลุงแกมาที่นี่ทุกปี แกเลยเป็นไกด์พิเศษเล่าเรื่องราวลึก ๆ ของเมืองให้ฟัง (ถือเป็นโบนัสการเดินทาง)

ไปหยุดอยู่ร้านอาหารกึ่งบาร์หน้าโอเปร่าของเมือง เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวัฒนธรรมการชมมหรสพระดับบนของชาวยุโรป พี่แกแต่งตัวเต็มอย่างในหนัง (บุญตา)

มื้อสุดท้ายในสเปนก่อนหลับบ้านสั่งสิจ๊ะ รออะไร เต็มเหนี่ยว โดยลุงออกตัวอย่างสุภาพมากว่า มื้อนี้ขอดูแลเอง อีสองสาวผู้หิวโหยจากบราซิล และหาดใหญ่ มองหน้ากัน ทำท่ากระมิดกระเมี้ยนนิดหน่อย แต่พยักหน้าและ Say Thank you แทบจะพร้อมกัน

หนึ่งชั่วโมงในการเดินชมเมืองบอกลาเมืองมูร์เซีย และสามชั่วโมงกับอาหารมื้อพิเศษก่อนกลับบ้าน กับเพื่อนรัสเซียที่ไปอาศัยบราซิลอยู่ และชายแปลกหน้าชาวฮังการีที่เรียกบ้านลุงแซมว่าเป็นบ้านหลังที่สองของตัวเอง เราให้แกเล็กเชอร์เรื่อง ระบบประสาทของสมอง (เพราะแกเป็นดอกเตอร์ด้านนี้) ชีวิตที่ได้รับทุนวิจัยเกือบร้อยล้านตั้งแต่วัยหนุ่ม จนแทบไม่ต้องกังวลเรื่องหาเงินอีก ชีวิตครอบครัวของทั้งสามคนที่โคตรแหวกแนว เป็นของขวัญอีกชิ้นของนักเดินทาง ที่ไม่เคยเรียกตัวเองว่านักท่องเที่ยว

เรารักการเดินทาง รักการขึ้นเครื่อง รักทุกโมเมนท์ตั้งแต่แพ๊กของ เช็กอิน เครื่องบินตกหลุมอากาศ แอร์หาอาหารมาให้กิน... ยันเดินทางกลับ

สุดท้ายทั้งสองคนเดินไปส่งเราที่สถานีรถประจำทาง ก่อนจะกลับโรงแรม ยังไม่จบสวย ๆ กิมมิกสุดท้ายคือเพื่อนรัสเซียกระซิบบอกว่า “เมื่อตอนแกไปห้องน้ำ ลุงแกบอกว่าชั้นเป็นสเปคของเค้า และขอจูบด้วย” เหี้ย ถ้าเพื่อนกับลุงมาเห็น จะด่ากูมั้ยเนี๊ยะ มาเขียนประจานแบบนี้ กล้าทำต้องกล้ารับนะลุง โชคดีที่เพื่อนชั้นสายวายจ๊ะลุง