Belgium: ผจญภัยในค่ายผู้ลี้ภัย [Volunteer Life]

Hi

ขอเริ่มเรื่องด้วยการเริ่มต้นชีวิตใหม่ค่ะ

หลังจากลาออกจากงานประจำ บอกลาชีวิตสวย ๆ แล้ว เราก็มุ่งมั่นที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ตั้งใจจะอยู่ไกลบ้านให้นานที่สุด แต่แค่เที่ยวมันยังไม่พอค่ะ เพราะเราไม่สามารถเที่ยวเดินทางไปโน่นมานี่แค่ไปได้เห็นได้ถ่ายรูปไปได้ตลอด ด้วยงบประมาณอันจำกัดของเรา เราเลยต้องหาอะไรทำเพื่อประหยัดงบ ไม่เบื่อ และตอบโจทย์ความต้องการของเรา เที่ยวยังไงให้ประหยัด เที่ยวยังไงให้ไม่เบื่อ เที่ยวยังไงให้ได้เพื่อนใหม่ ได้เรียนรู้วัฒนธรรม เรียนรู้ชีวิตของคนท้องถิ่น และได้ภาษา

งานอาสาสมัครคือคำตอบค่ะ คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็แค่กินฟรีอยู่ฟรี ทำงานตอบแทนเค้า ทีนี้ก็มาเลือกว่างานแบบไหนที่เราชอบ งานไหนที่ตรงกับบุคลิกเรามากที่สุด เมื่อเลือกได้แล้วก็ออกเดินทางกันเลยยยย

JAVVA09/17 

Asylum seekers centre in Tournai, Belgium

งานแรกของเราเริ่มต้นที่ประเทศเบลเยียม เป็นงานที่ทำกับ Croix - Rouge de Belgique (Red Cross) ที่เมือง Tournai อยู่ทางทิศตะวันตก เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของเบลเยียม มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยโรมัน บ้านเมืองก็จะเก่าแก่หน่อย แต่สวยมากกก และเงียบสงบมาก กลางคืนมีบรรยากาศเหมือนเมืองร้าง ภาษาหลักที่ใช้คือ ภาษาฝรั่งเศส

มาพูดถึงงานกัน ตามชื่อเลย เราต้องทำงานในค่ายผู้ลี้ภัยหรือผู้อพยพ จะเรียกว่าผู้ลี้ภัยละกันนะ ขอสารภาพตามตรงว่า ก่อนมาที่นี่เราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในยุโรปเลย ได้ยินข่าวผ่าน ๆ เท่านั้น แต่ตอนสมัครค่ายนี้เราต้องส่ง motivation letter เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยก่อน ก็เลยได้เริ่มอ่านข่าวเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ไม่เป็นไร อย่าได้กลัว ไปเรียนรู้เอาข้างหน้า

ค่ายผู้ลี้ภัยที่เมืองตูร์เนพึ่งเปิดได้ 2 ปีค่ะ เมื่อก่อนที่ตรงนี้เคยเป็นค่ายทหาร เค้าบอกว่าตอนแรกที่ค่ายนี้มีคนมาอยู่ประมาณ 900 กว่าคน แต่ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 300 คน ดูแลโดย Red Cross ของเบลเยียม ทางหน่วยงานค่อยๆเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนที่นี่เรื่อย ๆ จนตอนนี้ครบครันมาก

ต้องบอกก่อนว่า เมื่อประเทศเค้าตกลงอนุญาติให้ผู้ลี้ภัยมาอยู่ที่นี่ รัฐต้องรับผิดชอบความเป็นอยู่ คือให้กินฟรีอยู่ฟรี ให้เงินใช้รายเดือนนิดหน่อย เด็ก ๆ ก็ได้เรียนฟรี ได้เรียนภาษาฝรั่งเศส เรียนจบก็สามารถสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยต่อได้ ถ้าอยากทำงานต้องขอใบอนุญาติโดยการสัมภาษณ์และก็รอความคิดเห็นจากกรรมการ ถ้าผ่านก็ได้ใบอนุญาติแล้วก็สมัครงานได้ ใช้เวลาประมาณ 4 เดือน

พูดถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในค่ายนี้ มีตึกนอน 3 ตึก ห้องนอนนอนรวมกันประมาณ 6 คน เตียงสองชั้น เมื่อเดินทางมาถึงเจ้าหน้าที่จะมีถุงยังชีพให้ ในถุงก็จะมีผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ปลอกหมอน สบู่ เจลอาบน้ำ แชมพู ยาสีฟัน ช้อนส้อมมีด แก้วน้ำ คือมีอึปกรณ์ยังชีพครบทุกอย่าง ในโรงอาหาร เราต้องนำช้อนส้อม มีด และแก้วน้ำไปเองทุกครั้ง กินเสร็จก็ล้างและเก็บเอง อาหารเป็นฮาลาล เพราะคนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม

นอกจากนี้ยังมีห้องครัวให้ทำอาหารกันเอง มีห้องสำหรับใช้อินเตอร์เน็ต มีโต๊ะปิงปอง มีห้องสำหรับเด็กอ่อน เด็กโต ห้องโรงหนัง สปอร์ตฮอล ที่ปลื้มสุดคือมีห้องฟิตเนส มีสนามบอล บาสเกตบอล สนามเด็กเล่น


มีห้องสำหรับซักผ้า รีดผ้า ถ้าเราอยากซักผ้าก็แค่เอาผ้าใส่ถุงหรือตะกร้าไปที่ห้องซักผ้า จะมีคนซักผ้าและอบผ้าให้ รอสองชั่วโมง เสร็จละเค้าก็จะพับใส่ถุงให้ด้วย คือไม่ต้องทำไรเลย เครื่องอบผ้านี่คือเสร็จละใส่ได้เลย ดีงามมาก

 

 

บรรยายมาซะยาวเลย มาพูดถึงเรื่องงานบ้างละกัน 

เริ่มจากเดินทางมาถึงที่นี่ จุดนัดพบคือสถานีรถไฟ รถไฟมาตรงเวลามาก นับเป็นนาทีได้เลย เพราะฉะนั้นต้องขึ้นรถไฟให้ถูกขบวน ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องการนัดเจอกันและก็จะมีคนจากกาชาดมารับไปที่ค่าย อาสาสมัครมีทั้งหมด 9 คน มีหัวหน้า 2 คน คือ Soile ผู้หญิงมาจากฟินแลนด์ และ Henri ผู้ชายมาจากโตโก เนื่องจากเราเป็นอาสาสมัครกลุ่มแรกที่เข้ามาทำกิจกรรมในค่าย มันก็เลยมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่ค่อยลงตัว และมีหลายอย่างให้ทำ

ไปถึงผู้ประสานงานก็พาทัวร์ในค่าย แนะนำห้องต่าง ๆ หลังจากนั้นให้อาสาสมัครช่วยกันคิดว่าอยากทำอะไรให้ที่นี่ได้บ้าง คือต้องเริ่มตั้งแต่คิดและวางแผนเองทั้งหมด ปัญหาของที่นี่คือ ทุกอย่างต้องรอผู้ใหญ่อนุญาติเห็นชอบ ระบบคล้าย ๆ ไทยนิดหน่อย เพราะติดต่อยาก ตัดสินใจช้าแบบไม่ทันใจนั่นแหละ และแล้วเราก็มานั่งประชุมกันว่าทำอะไรได้บ้าง ก็ได้ออกมาตามนี้

7.30-9.00 Breakfast

9.30-10.00 Meeting

10.00-12.00 Working ตรงนี้ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วแต่วัน ช่วงแรกๆ ยังไม่มีอะไรให้ทำมาก แต่หลัง ๆ นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมPainting 

12.00-13.00 Lunch

13.30-14.00 Free time

14.00-16.00 กิจกรรม

16.00-18.00 กิจกรรม

18.00-19.00 Dinner

19.30-21.00 เล่นกีฬา เล่นเกม

21.00------> Free time 

กิจกรรมก็จะประมาณนี้ทุกวัน กิจกรรมช่วงบ่ายจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ สิ่งที่พวกเราอาสาสมัครทำคือ นำของเล่นที่ได้รับบริจาคมา (ซึ่งเยอะมาก) ที่อยู่ในห้องใต้ดิน นำมาทำความสะอาด คัดแยกที่จะแจกให้เด็ก กับส่งให้กับองค์กรอื่น บางวันอากาศดีก็พาเด็กก็มาวิ่งเล่นข้างนอก อีนอกจากนี้ยังทาสีห้องครัว ทาสีทางเดินแล้วก็วาดรูปตกแต่ง ตกเย็นมาผู้ชายก็จะเตะบอลกัน ผู้หญิงก็เล่นเกมกับเด็ก เสร็จแล้วก็เล่นเกมกับวัยรุ่นผู้ใหญ่ต่อ หลังสามทุ่มก็จะเป็นเวลาพัก หรืออยากออกไปเที่ยวก็เดินออกไปได้เลย 

อีกเรื่องที่อยากพูดถึงคือ เด็กค่ะ เด็กที่นี่ส่วนใหญ่จะค่อนข้างชอบต่อสู้ ชอบเอาชนะ และจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองชนะ โกงทุกเกมที่เล่น ก็เลี่ยงโดยการหันไปวาดรูปกับอีกกลุ่มนึง แต่ก็มีเหตุการณ์นำพาให้ทะเลาะกับเด็ก ๆ ต่อสู้ กอดรัดฟัดเหวี่ยงกนจนเด็กพวกนั้นติดเรางอมแงมไปเลย มานั่งกินข้าวด้วย เดินตาม ชวนไปเล่น กลายเป็นลูกรักเราไปเลย 

 

ได้อะไรจากค่ายนี้

ภาษา ใช้ภาษาอังกฤษ ใช่ค่ะ แต่ใช้ภาษาอังกฤษเฉพาะกับกลุ่มอาสาสมัคร แต่กับชาวบ้านแถวนี้ ใช้ภาษาฝรั่งเศส คนเบลเยียมพูดภาษาฝรั่งเศส เข้าหน้าที่กาชาดบางคนพูดอังกฤษได้บ้าง บางคนก็ไม่ได้เลย (หน้าตาหล่อแต่พี่ไปต่อไม่ได้เลยจ้ะ) ส่วนผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ก็ภาษาฝรั่งเศส เพราะเป็นภาคบังคับที่ทุกคนต้องเรียน อีกภาษาหนึ่งคือ อารบิก เพราะส่วนใหญ่มาจากแถบตะวันออกกลาง ความรู้ใหม่ก็คือ คนแอฟริกันพูดภาษาเปอร์เซีย ไม่ใช่อารบิก ทำให้มีโอกาสได้ฝึกภาษาพื้นฐาน ทั้งฝรั่งเศส อารบิก และภาษามือ ส่วนภาษาอังกฤษก็ได้ฝึกนะ ฝึกฟังสำเนียงที่แปลกแตกต่างกัน บางคนก็ฟังยากมาก อาจเป็นเพราะพูดอยู่ในลำคอ (บ่นอะไรพึมพำคนเดียวน่ะ) แต่ส่วนใหญ่ก็ฟังออก ที่ฟังไม่รู้เรื่องอาจเป็นเพราะคำศัพท์ เริ่ดหรูแบบเคยเรียนแต่ไม่เคยใช้ เพื่อนฟินแลนด์พูดชัดมาก เยอรมันพูดชัดมาก รัสเซียสำเนียงมาเต็มมาก แต่ฟังรู้เรื่อง ที่ฟังยากคือญี่ปุ่น ส่วนเม็กซิโกก็ระดับเดียวกับเรา งู ๆ ปลา ๆ ฟังกันไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เข้าใจเอง 

เพื่อนใหม่ อันนี้แน่นอน ก็จะประสบพบเจอกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย และพวกเขาก็จะได้รู้ว่าคนไทยขี้เกียจแค่ไหน เอ้ย! ไม่ใช่ คนไทยใจเย็น ไม่รีบค่ะ ยูรีบยูทำเลย ยูไปก่อนเลย ไม่ต้องห่วง 

เอาเป็นว่าเราก็ได้โชว์ความสามารถเล็ก ๆ น้อย ๆ การเขียนตัวหนังสือ รู้ได้เลยว่าเราลายมือสวยที่สุด เพราะเขียนป้ายโปสเตอร์ทุกงาน แถมด้วยศิลปะง่อย ๆ ระดับประถมอย่างเรา กลายเป็นสวยมากสำหรับที่นี่ จากที่ไม่มั่นใจในการวาดรูปเลย เห็นพวกนางวาดปุ๊ป มาๆๆๆ เราวาดให้ 

ฝึกแสดงความคิดเห็น เนื่องจากคนไทยเรา ถ้าไม่ฝึกทำกิจกรรม ไม่ผ่านการเป็นผู้นำหรือหัวหน้ากลุ่มใด ๆ มาก่อน จะไม่ค่อยคิดอะไรมาก เป็นผู้ตามก็สบายดี นั่นในกรณีที่ผู้นำดีนะ ในส่วนของเรานั้น งานนี้จะให้เป็นผู้นำก็ได้นะ แต่เราพูดไม่ได้ เถียงไม่ทัน ติดที่ภาษาจริง ๆ ก็เลยตาม ๆเค้าไป แต่อยู่ ๆ ไปก็ต้องพูดต้องแสดงความคิดเห็น เพราะหงุดหงิด เพราะมีประชุมกันมีทีมกันทุกวัน จึงง่ายที่จะพูดคุยกันแสดงความคิดเห็น เนื่องจากหัวหน้ากลุ่มเราไม่ค่อยกล้าตัดสินใจ จึงใช้วิธีระดมสมองให้ทุกคนออกความเห็น แล้วลงคะแนนกัน จึงต้องพูด ทำให้ได้ฝึกแสดงความคิดเห็น และเข้าใจว่าฝรั่งกับเอเชียบางเรื่องก็มีความคิดคนละแบบกันจริงๆ

       

ฝึกปรับตัวเอง ปกติเป็นคนที่ยืดหยุ่นอยู่แล้ว มาที่นี่ก็ต้องปรับตัวหลายอย่าง เช่น อาหารการกิน เนื่องจากกินฟรีที่โรงอาหาร และคนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม อาหารก็เลยเป็นฮาลาล ซึ่งเราแฮปปี้นะ ไม่ต้องกินขนมปังทุกมื้อ ส่วนใหญ่เป็นเนื้อด้วย รักเลย แต่บางทีมื้อเย็นเป็นมังสวิรัตินี่ก็แทบร้องไห้เหมือนกัน ส่วนมื้อเช้านั้นเป็นขนมปัง มีแยม น้ำผึ้ง กับช็อกโกแลตให้เลือกตามชอบ มีนมให้ด้วย เราก็ซื้อซีเรียลมากินกับนม หรือไม่ก็เป็นข้าวโอ๊ตกับไข่ มีไมโครเวฟให้ใช่ มีกาแฟให้ฟรีด้วย

อย่างที่สองคือ การดื่ม ที่นี่เบียร์ถูกมาก คนที่นี่ก็ชอบดื่มเบียร์กัน 

อย่างที่สามคือ วัฒนธรรมการเลี้ยงเครื่องดื่ม ไม่รู้เป็นกันทั่วไปรึเปล่านะ แต่คนฟินแลนด์เค้าบอกเราว่ามันเป็นวัฒนธรรม คือเราไปกันเป็นกลุ่มสิบคน ก็จะมีคนนึงเลี้ยงเบียร์ทุกคน หากเบียร์หมดแล้วเราอยากจะเลี้ยงบ้าง เราก็สั่งมาให้ทุกคนอีกรอบเป็นการเลี้ยงตอบแทนได้เลย ทำนองนี้ ถ้าไม่อยากเลี้ยงก็กินฟรีไป 

อีกอย่างที่ต้องปรับตัวให้ชินคือ สภาพอากาศ อตามที่รู้ ๆ กันว่าอากาศหนาวมาก ไข้ขึ้นไปสองรอบ แต่อยู่ไปก็เริ่มชิน ที่สำคัญคือ ปรับตัวกับ culture shock ต่าง ๆ และกับลักษณะนิสัยของแต่ละคน แต่ละคนก็จะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง เราเปลี่ยนเค้าไม่ได้ แต่เราปรับทัศนคติตัวเองได้ 

 

 

 

ฝึกแก้ปัญหา การทำงานทุกอย่างมันต้องมีปัญหาอยู่แล้วล่ะ เป็นเรื่องปกติ เนื่องจากเราเป็นอาสาสมัครกลุ่มแรกของค่ายนี้ ทุกอย่างจึงยังไม่ค่อยลงตัว การคิดจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ยังต้องถามความเห็น ขออนุญาติทางกาชาดก่อน ซึ่งหาตัวจับยากเหลือเกิน เราจึงทำอะไรที่เราสามารถทำได้กันก่อน เช่น ทำกิจกรรม ทำกิจวัตรประจำวันร่วมกับผู้ลี้ภัย แต่ทางกาชาดก็ดีมาก อยากได้อะไรก็พยายามจัดหามาให้ แต่อาจจะช้าหน่อย ครั้งหนึ่งถึงขั้นต้องประชุมกัน แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า 'เรามาที่นี่กันทำไม' นั่นคือจุดเปลี่ยนค่ะ ใช่แล้ว เรามาที่นี่กันทำไม จุดประสงค์หลักคืออะไรไม่รู้ แต่เราว่าเค้าคงอยากให้มีคนหน้าใหม่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมกับคนที่นี่ ซึ่งอยู่มานานแล้ว เอาคนหน้าใหม่มาบ้างจะได้สร้างความกระชุ่มกระชวยให้ผู้ลี้ภัย ทำให้เข้าใจเลยว่าการทำกิจกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคนคือคำตอบ

ได้เที่ยว ได้พบว่าเบลเยี่ยมมีเมืองที่สวยมากซ่อนอยู่ จากที่ไม่เคยคิดอยากจะมา พอมาแล้วก็มีคนคะยั้นคะยอให้ไป Bruge Gent Namur แล้วก็พบว่ามันสวยจริง ๆ โรแมนติกในตัวของมันเอง ต่อให้ไปคนเดียวก็เหอะ แต่เมือง Namur ควรมีคนไปด้วยนะ เพราะมันสวย แต่ไม่มีไรให้ทำ อีกเมืองนึงที่ได้เที่ยวคือ Tournai เมืองที่เราอยู่นั่นเอง

ของแถมที่ได้อีกอย่างคือ ชื่อใหม่ จากที่เป็นคนชอบให้ทุกคนเรียกชื่อเรา ทุกคนต้องจำชื่อเราได้แต่ “ทับทิม” ฝรั่งเรียกยากเหลือเกิน ครั้นจะพยายามให้ทุกคนพูดได้ก็เหนื่อยเปล่า เลยกลายเป็น แท้บบี้ ส่วนในค่าย เด็ก ๆ ตั้งชื่อให้เป็น “มีมี่“ น่ารักดี เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากลา เราอยู่ต่อที่ค่ายอีกวันนึง บอกลาเพื่อน ๆ เดินไปส่งเพื่อน ๆ ขึ้นรถทีละคน ๆ ละก็บอกลาคนในค่าย ถึงกับน้ำตาร่วงกันเลยทีเดียว มันเหมือนเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ไปแล้ว ตื่นมากินข้าวพร้อมกัน ทำกิจกรรมร่วมกันทุกวัน แต่ก็นะ เราเองก็ต้องไปต่อ ไว้จะกลับไปใหม่นะ

สุดท้ายนี้ ใครอยากลองเปลี่ยนชีวิตตัวเอง อยากหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ลองเป็นอาสาสมัครดูค่ะ มีหลายงานให้เลือก เลือกให้ตรงกับความชอบเราให้มากที่สุด แล้วจะสนุกไปกับมัน

ทับทิม