Iceland

Tith: Photo Marathon in Reykjavík

ผมเป็นคนที่หลงใหลในประเทศไอซ์แลนด์มายาวนานกว่า 3 ปี และเนื่องในโอกาสที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยผ่าน พ่อจึงให้ทริปนี้เป็นรางวัล ตอนแรกผมกะอยากจะไปเที่ยวเฉย ๆ แต่ไม่มีเพื่อนคนไหนว่างไปกับผมสักคน ผมจึงมองหาตัวเลือกใหม่ นั่นคือ “การเป็นอาสาสมัคร”

นอกจากจะประหยัดเงินกว่าแล้ว ผมคิด่ามันคงได้อะไรมากกว่าการไปเที่ยวเฉย ๆ แน่นอนว่าเราจะได้เพื่อนใหม่ ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ได้ฝึกภาษา ได้ฝึกทักษะการเข้าสังคม

สิ่งที่ค่ายของผมทำ ก็คือทำ workshop เกี่ยวกับการถ่ายรูป เสร็จแล้วเราก็จะ discuss เพื่อเลือกหัวข้อของนิทรรศการรูปถ่ายที่เราจะจัดกันในวันสุดท้าย สรุปง่าย ๆ คือ ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ครับ เป็นค่ายที่ค่อนข้างชิว ไม่ต้องเหนื่อยอะไรมาก แต่ก็ต้องไปทำงานอาสาสมัคร กวาดใบไม้ อยู่ 2 วันที่สุสาน

วันแรก ๆ ที่ผมมาถึงค่าย รู้สึกเสียความมั่นใจมาก และต้องกลับมาคิดทบทวนทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองว่าดีแบบที่เรามั่นใจหรือไม่ เพราะค่อนข้างมีปัญหากับสำเนียงที่แตกต่างกันมาก ฟังไม่ค่อยออก ต้องขอให้เค้าพูดอีกทีตลอด ไม่ว่าจะเป็นที่สนามบิน หรือเพื่อน ๆ ในค่าย ซึ่งเพื่อนในค่ายมีหลากหลายเชื้อชาติ ได้แก่ รัสเซีย (หนักหนาสาหัสที่สุด ฟังยากมาก) อังกฤษ (เป็นเจ้าของภาษา แต่ผมไม่ชินกับสำเนียงเขาเลย ฟังยากไปอีก) เยอรมัน เกาหลีใต้ โคลัมเบีย ยูเครน และ กรีซ

การที่ร่างกายต้องปรับให้กับเวลาที่ต่างจากประเทศไทย อาการเพลีย อีกทั้งยังฟังสำเนียงภาษาอังกฤษที่แตกต่างกันไม่ค่อยออก ทำให้ผมเริ่มถามตัวเองตั้งแต่คืนแรกว่า “คิดถูกมั้ยนี่ ที่มาเป็นอาสาสมัคร”

แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็รู้เลยครับว่า คิดถูกแล้ว เริ่มชินกับสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเพื่อนแต่ละคน ส่วนตัวผมเป็นคนเงียบ ๆ  ไม่ค่อยพูดมาก แต่เพื่อน ๆ ก็น่ารักมาก เดินไปไหนด้วยกันก็ชวนคุยตลอด

พูดถึงประเทศไอซ์แลนด์ ความฝันตลอดสามปี กับเรื่องจริงที่มาเจอ มันดีมากครับ ยังคงเหมือนฝัน ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่สะอาดมาก ทั้งในเรื่องของสิ่งแวดล้อม และอากาศ (อากาศอร่อย แบบว่าสูดเข้าไปทางปากแล้วกลืนลงไป จะรู้สึกว่าอร่อยครับ) น้ำที่ใช้ก็เป็นน้ำที่สูบขึ้นมาใช้ได้เลยทันที รสชาติดีมากเหมือนกินน้ำแร่  ส่วนน้ำร้อนที่นี่สูบขึ้นมาใช้เลยเช่นกัน เพราะไอซ์แลนด์มีพลังงานความร้อนใต้พิภพอยู่มาก ทำให้น้ำร้อนมีกลิ่นจากธรรมชาติ เป็นกลิ่นซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (กลิ่นไข่ต้ม) ซึ่งตรงนี้อาจจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติและสะอาดมาก

 ส่วนผู้คนก็ใจดี น่ารัก เป็นมิตรมาก โดยเฉพาะบนท้องถนน หากต้องการข้ามที่ทางข้ามม้าลาย ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องรอสัญญาณ แต่หากบริเวณไหนไม่มีสัญญาณไฟจราจร มีเฉพาะทางข้ามม้าลาย รถจะหยุดให้คนข้ามก่อนทุกครั้ง

เรื่องอาหาร มาวันแรก ปรับตัวยากมาก มีแต่ขนมปัง ขนมปัง และขนมปัง ทุกคนกินขนมปัง จะทำอาหารก็ไม่กล้า เพราะเป็นวันแรก ก็ทนกินขนมปังไปครับ ผมกินไม่ค่อยเป็น จนเพื่อนต้องบอกว่า คุณควรหาอะไรมาใส่หน่อยนะ ก็เลยทาน้ำผึ้งลงไปครับ ส่วนวันถัดมาเริ่มโอเคหน่อย แบ่งเวรกันทำอาหารเที่ยงและอาหารเย็น (อาหารเช้าจัดการกันเอง) ก็ได้กินหลากหลายดีครับ ทั้งพาสต้า ซุปผัก ต๊อกบอกกี มันบด แน่นอนว่าผมได้โชว์ฝีมือทำอาหารไทย ได้หุงข้าวโดยหม้อธรรมดาครั้งแรก ซึ่งถือว่าผ่าน เพราะไม่ไหม้ เหลือเชื่อมากครับ ทุกคนดูตื่นเต้นกับอาหารไทยมาก

สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ว่า หากมีโอกาส ลองไปเป็นอาสาสมัครสักครั้งในชีวิตนะครับ ผมได้รับประสบการณ์ที่มีค่าและความทรงจำที่ดีมาก ไม่เสียดาย และคิดไม่ผิดครับ ที่เลือกไปเป็นอาสาสมัคร ถ้ามีโอกาสอีกครั้งผมก็อยากจะไปอีกครับ