Japan

International Family Workcamp

Katsuyama 28 July - 3 August 2014

            บันทึกประสบการณ์ของสองครอบครัวเพื่อนซี้ที่เข้าร่วมค่ายครอบครัวด้วยกันที่ประเทศญี่ปุ่น ครอบครัววิสัยจร และครอบครัวลิมปสุธรรม ตัวแทนครอบครัวไทย 5 คน จะสนุกสนานเพียงใด ร่วมให้กำลังใจไปพร้อมกันกับบันทึกการเดินทางสองฉบับนี้

 ครั้งแรกของการเดินทาง : 

           นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น พวกเรารู้สึกตื่นเต้นและประทับใจในความมีน้ำใจ ความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของพนักงานรถไฟ บ้านเมืองที่สะอาดเป็นระเบียบ ระบบขนส่งที่สะดวกรวดเร็วเข้าใจง่าย แม้จะไม่เข้าใจในภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไหร่  แต่พวกเราก็ไม่หลงทางเลย

พวกเราเดินทางด้วยรถไฟจาก Kyoto ไปยัง Fukui และต่อรถไฟเล็กไฟยังสถานี Katsuyama พอไปถึง              คุณ Kai(หัวหน้า Camp leader) และทีมงานก็มารับพวกเราทุกคนตามเวลานัดหมายคือ 13:19 น. และเดินทางต่อด้วยรถยนต์ไปยังพี่พัก ซึ่งไกลมากจากสถานี

แนะนำตัว :

พอไปถึงบ้านพักพวกเราทุกคนก็แนะนำตัว ก็ออกจะเขินๆ กันเล็กน้อยสำหรับครั้งแรกที่เจอกัน แต่ทุกคนก็มีอัธยาศัยดี หลังจากที่แนะนำตัวเสร็จแล้ว คุณ Kai ก็วางแผนการทำงานและแจ้งหน้าที่ความรับผิดชอบให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน และก็พาเดินชมบริเวณรอบ ๆ ที่พัก ขอบอกเลยว่าบรรยากาศที่นั่นดีมาก มีธรรมชาติที่สวยงาม อากาศบริสุทธิ์ ดื่มแล้วชื่นใจสุด ๆ คุณ Kai บอกว่าหน้าหนาวที่นี่จะมีหิมะหนาถึง 4 เมตรเลยที่เดียว

วันแรกของการทำงาน (29/7/14)

วันนี้ฉันต้องตื่นแต่เช้า เพราะเป็นหน้าที่ทำอาหารให้ทุกคนทาน วันนี้เป็นเมนูอาหารญี่ปุ่น ทุกคนทานกันด้วยความเอร็ดอร่อย หลังจากทานอาหารเสร็จก็ออกไปเก็บมันฝรั่ง อากาศก็ร้อนเหมือนกันแต่ก็สนุก และตื่นเต้นดีใจทุกครั้งที่เจอหัวมันฝรั่ง  เด็ก ๆ ชอบกันทุกคน พวกเราเก็บกันได้เยอะมาก หลังจากเก็บเสร็จแล้วก็ต้องนำขึ้นไปตากที่โรงเก็บ โดยไม่ให้โดนแสงแดด เพราะจะทำให้ผลของมันงอกได้

ในเวลาใกล้เที่ยงฉันต้องปลีกตัวไปช่วยทำอาหารสำหรับมื้อกลางวัน ตอนบ่ายเราแบ่งกันเป็น 2 ทีม ทีมที่หนึ่งไปดูแลเด็ก ๆ เล่นน้ำที่ลำธาร ทีมที่สองไปตัดไม้ ฉันได้อยู่ทีมตัดไม้  ฉันชอบมากเลยงานนี้ เพราะมันสนุกดี ได้ใช้อุปกรณ์เครื่องจักรที่มันช่วยทุ่นแรงคนได้ดีทีเดียว  ตกเย็นหลังจากที่ทุกคนทานอาหารเย็นแล้ว ก็มีประชุมพูดคุยกันถึงกิจกรรมวันแรกว่าเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนเด็ก ๆ ก็ยังต่างคนต่างเล่น (ส่งสัยจะยังเขิน ๆ กันอยู่มั้ง) หลังจากประชุมกันเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับที่พัก

 วันที่สองของการทำงาน (30/7/14)

           วันนี้เป็นเวรของชาวอิตาลีทำอาหาร มีแพนเค้ก และสลัดผัก เวลา 09:00 น. หลังจากที่ทุกคนทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็แบ่งหน้าที่กันทำงาน ทีมที่หนึ่งไปตัดไม้เหมือนวันแรก ฉันเลือกที่จะไปตัดไม้ เพราะมันสนุกดี ส่วนเพื่อนคนไทยด้วยกัน อยู่ทีมที่สอง คือดูแลเด็ก ๆ ทำความสะอาดห้องน้ำ และเก็บใบไม้ไว้สำหรับทำเชื้อเพลิงตอนหน้าหนาว

           ถึงตอนบ่ายทุกคนตื่นเต้นกันมาก โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่จะได้ไปพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ เมื่อเดินทางไปถึงพนักงานก็ให้ความรู้ เรื่องจุดที่ค้นพบไดโนเสาร์ วิธีการขุดเจาะ ลักษณะของฟอสซิล พอถึงเวลาที่เด็ก ๆ ลงมือขุดเจาะหาฟอสซิลกันแล้ว บ้างก็เจอ บ้างก็ไม่เจอ คนที่ไม่เจอก็ร้องไห้กันไป  เสร็จจากขุดหาฟอสซิลแล้ว ก็เข้าไปเดินชมในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ซึ่งใหญ่โตมโหฬารและสวยงามมาก ๆ อยากให้ทุกคนได้มาเห็นจริง ๆ

ตอนเย็นก็ทานอาหารอิตาลี ทานเสร็จก็ประชุมพูดคุย ประเมินผลการทำงาน แจ้งปัญหาของแต่ละคน ส่วนเด็ก ๆ ก็เริ่มเข้ากันได้แล้ว เห็นเล่นกันอย่างสนุกสนาน

วันที่สามของการทำงาน (31/7/14)

วันนี้เป็นวันที่ฉันกับเพื่อน รู้สึกตื่นเต้นกันเป็นพิเศษ เพราะมื้อเย็นนี้ เป็นเวรที่ฉันกับเพื่อนต้องทำอาหารไทย พวกเราก็แอบกลัวว่าพวกเขาจะทานกันได้ไหมหนอ  ส่วนมื้อเช้ายังเป็นอาหารอิตาลีกับญี่ปุ่นปนกันเพราะยังมีของเหลือจากเมื่อสองวันก่อน ทานเสร็จก็เตรียมตัวไปทำงาน งานวันนี้คือถอนหญ้าในนาข้าว ซึ่งถอนยากมากกก โคลนก็ดูดเท้าทำให้ก้นจ้ำเบ้าไปหลายรอบเลยที่เดียว อากาศวันนี้ร้อนน่าดู แต่ก็สนุกดี  ทำให้ฉันเข้าใจถึงวิถีชีวิตของชาวนาเลยว่า เขาต้องอดทนแค่ไหนเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีออกมาขาย

เวลา 11:00 น. ฉันกับเพื่อนและคุณ Kai ต้องกลับมาทำอาหารสำหรับมื้อกลางวัน คุณ Kai เป็นพ่อครัวใหญ่ ส่วนพวกเราคอยเป็นลูกมือ และหลังจากที่ทุกคนทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ตอนบ่ายทุกคนก็ต้องกลับไปทำงาน โดยแบ่งเป็น 2 ทีม เช่นเดิม ทีมที่หนึ่ง กลับไปถอนหญ้าในนาต่อ ส่วนทีมที่สองดูแลเด็ก ๆ เล่นน้ำที่ลำธาร ฉันกับเพื่อนมีหน้าที่ดูแลเด็ก ๆ เพราะตอนเย็นต้องทำอาหาร หลังจากที่เด็ก ๆ เล่นน้ำเสร็จ ก็เวลาประมาณ 4 โมงเย็น ฉันกับเพื่อนต้องแยกกันเพราะคุณ Kai จะพาเด็ก ๆ ไปเก็บผลวอลนัท บนภูเขา

 จึงต้องการให้เพื่อนของฉันไปดูแลความปลอดภัยให้กับเด็ก ๆ ต่อ  “แล้วทีนี้ทำไงดีหว่า”  ฉันคิดในใจ “ตายแน่งานนี้”  เหลือตูอยู่คนเดียว แล้วจะทำยังไงกับอาหารไทยมื้อนี้ดี ถ้าเป็นที่เมืองไทยคงไม่กังวลอย่างนี้เพราะมีวัตถุดิบพร้อม แต่วัตถุดิบที่นำไปก็แค่เครื่องปรุงโลโบ  แล้วยังจะเสื้อผ้าของทุกคนที่เปื้อนโคลนจากการทำนา ที่ต้องซักด้วย “เอาไงดีหว่า” ฉันถามตัวเอง ผ้าก็ต้องซัก อาหารก็ต้องทำ “เอาน่า สู้ ๆ”  พอตั้งสติได้ก็จัดการล้างโคลนที่เปื้อนเสื้อผ้าก่อน แล้วก็นำไปซักในเครื่องซักผ้า แล้วก็เข้าครัวลงมือทำอาหาร เมนูเย็นนี้ก็มี กระเพราไก่, ต้มยำกุ้ง, ผัดไทยวุ้นเส้น, ผัดมาม่าสำหรับเด็ก ๆ พอเริ่มลงมือทำสักพักคุณ Yuki ก็มาช่วยหั่นผักให้ พอทำไปได้สัก 2-3 เมนู เพื่อน และทุก ๆ คนก็กลับมา ใจก็ชื้นขึ้นมาหน่อย ก็เลยได้ช่วยกันทำเมนูที่เหลือ คือ ผัดไทย ผัดมาม่า แล้วทุกอย่างก็เสร็จ (เฮ่อ!...โล่งอก) คราวนี้ก็รอลุ้นว่าจะทานกันได้ไหมหนอ..นึกหวั่นใจไม่น้อย แต่ผลปรากฎว่าทุกคนชอบอาหารไทยมาก ร้องบอกกันทุกคนว่า  “สุโค่ย”  เลยโล่งอกอีกรอบ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

วันฟรีเดย์ (1/8/14)

วันนี้ไม่ต้องทำงาน เพราะวันนี้คุณ Kai จะพาพวกเราทุกคนไปเที่ยว เย้!..  ทุกคนจึงเตรียมตัว และมาทานอาหารเช้าพร้อมกัน หลังจากทานกันเสร็จก็จัดเตรียมเสบียงอาหารสำหรับปิคนิคมือกลางวัน   เวลา 9:30น.  ก็ออกเดินทาง    จุดแรกที่ไปถึงก็คือ ตลาด (จำชื่อไม่ได้แล้ว)พวกเราก็แยกย้ายกันเดินดูของแต่ละร้าน และแวะถ่ายรูปหมู่ที่จุดชมวิว แล้วก็เดินทางต่อไปยังชายทะเล (จำชื่อไม่ได้เหมือนกัน) ก่อนลงเล่นน้ำก็ทานอาหารที่เตรียมมาปิคนิคกัน อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนสุด ๆ ตอนที่เดินเยียบไปบนทรายทำให้ดูเหมือนกุ้งเต้นยังไงยังงั้นเลยที่เดียว แต่เด็ก ๆ ดูเหมือนจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเสียเลย เพราะเห็นเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานจนไม่อยากจะเลิก จนต้องเป่านกหวีดว่าหมดเวลาแล้ว ถึงได้ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน หลังจากนั้นก็ออกเดินทางต่อ ไปที่บริเวณงานดอกไม้ไฟ แต่เนื่องจากเย็นแล้ว คุณ Kai ก็เลยพาพวกเราไปทานอาหารญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อแถบย่านนั้น ซึ่งตั้งมานานหลายปี พอไปถึงร้าน ทำให้พวกเราเชื่อแล้วว่าร้านนี้ตั้งมานานแล้วจริง ๆ เพราะดูจากเจ้าของร้านที่มีอายุราว ๆ 70-85 ปี เห็นจะได้  แต่ด้วยความที่อายุป้าแก่คงมากแล้ว การทำอาหารก็เลยใช้เวลานานมากเลยทีเดียว ขณะรออาหารพลุก็ถูกจุดไปแล้วหลายดอก ทำให้พวกเราเลือกที่จะไปดูพลุก่อนแล้วค่อยกลับมาทานอาหาร ตอนนั้นหิวมาก ๆ แต่ก็เข้าใจคุณป้าเจ้าของร้าน ซึ่งเขาก็พยามรีบทำเร็วที่สุดแล้ว ขณะที่ยืนหิวดูพลุอยู่ก็มีหนุ่มน้อยใจดีของทีม Supporter ซื้อทาโกะยากิมาเลี้ยงพวกเราและเด็ก ๆ ทุกคน

 บันทึกประสบการณ์การทำงานอาสาสมัคร International Family Workcamp @ Ohara Village , Katsuyama, Fugui , Japan วันที่ 28 กค- 3 สค.2014 โดย ฐานิต และเด็กชายภาวิต ลิมปสุธรรม

 ฉัน

ได้มีโอกาส มาทำงานเป็นอาสาสมัคร นอกประเทศเป็นครั้งแรก ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่า และน่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง Workcamp ครั้งนี้มีความพิเศษกว่า Workcampอื่นๆ ตรงที่เปิดโอกาสให้เราพาลูกหลานในครอบครัวมาทำงานจิตอาสาร่วมกับพ่อแม่ได้ เป็นระยะเวลา 7 วัน ซึ่งจัดขึ้นที่ Ohara Village ซึ่งเป็นหมู่บ้านในเมืองKatsuyama จังหวัด Fugui ประเทศญี่ปุ่น

Ohara Village ตั้งอยู่ในเมือง Katsuyama ซึ่งเป็นเมืองเกษตรกรรม และเป็นแหล่งค้นพบซากไดโนเสาร์ที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังเคยเป็นเมืองที่สะอาดติดอันดับ 9 ของโลก Ohara Village มีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม สะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อย รายล้อมไปด้วยภูเขา และป่าสนที่สมบูรณ์ที่สุด แสดงถึงความใส่ใจดูแล ปกป้องรักษา ธรรมชาติของการร่วมมือกันขององค์กรในชุมชนเป็นอย่างดี

ระยะเวลา 7 วันที่ฉันและลูกชายวัย 9 ขวบ พร้อมครอบครัวเพื่อนคนไทยอีก 1  ครอบครัวได้มีโอกาสทำงานเพื่อชุมชนที่นี่ร่วมกับอาสาสมัครในท้องถิ่น และครอบครัวอาสาสมัครชาติอื่น ๆ (อิตาลี่ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น) ฉันได้ร่วมทำงานให้ชุมชนหลายอย่างเช่น

· เก็บเกี่ยวผลผลิตมันฝรั่งที่ปลูกแบบปลอดสารพิษ การเก็บดูแลรักษามันฝรั่งในโรงเก็บของ ซึ่งสร้างไว้บนเขาเพื่อใช้เป็นอาหารในช่วงฤดูหนาว ซึ่งที่นี่จะมีอากาศหนาวเย็นมาก มีหิมะสูงถึง 4 เมตรเลยทีเดียว

· กำจัดวัชพืชในนาข้าว ด้วยการใช้มือถอนออกเท่านั้น เพื่อไม่ให้วัชพืชไปแย่งสารอาหารจากต้นข้าว ทำให้ต้นข้าวเติบโตแบบไม่สมบูรณ์ นาข้าวที่นี่ไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น ผลผลิตข้าว จะเป็นของส่วนรวมเพื่อนำไปจัดจำหน่าย

· ดูแลรักษาความสะอาด บริเวณวัดของชุมชน การนำที่นอน เสื่อ มาตากแดด ทำความสะอาด และจัดเก็บเพื่อให้อาสาสมัคร และคนในชุมชนได้ใช้

· การตัดไม้สน เพื่อนำมาใช้เป็นฟืนในเตาผิงไฟเพื่อสร้างความอบอุ่น ไว้ใช้ในฤดูหนาวสำหรับชุมชนส่วนรวม

· ทำความสะอาด Tourist Information Center ของชุมชน

นอกเหนือจากทำงานหลักๆ ข้างต้น พวกเราในกลุ่มอาสาสมัครต้องผลัดกันทำอาหารประจำชาติให้เพื่อนๆ ได้รับประทานกัน ฉันได้เตรียมวัตถุดิบเท่าที่พอจะสามารถพกพาจากประเทศไทยไปได้สะดวก 4 เมนูได้แก่ผัดไทย ไก่ผัดกระเพรา ต้มยำกุ้ง ข้าวต้มไก่และเห็ด และเมนูของหวาน สาคูแคนตาลูป ทุเรียนทอด พร้อมด้วยชามะตูม ปรากฏว่า ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก ทุกคนในกลุ่มชื่นชอบ ฉันได้ยินคำว่า "อร่อย"เป็นภาษาต่างๆ ฉันยิ้มออก หัวใจพองโต ดีใจที่สุดที่ได้ยิน เพราะการที่ฉันต้องทำอาหารไทยเลี้ยงผู้คนมากมายเกือบ 20 ชีวิต ทำให้ฉันรู้สึกเป็นกังวลมาก

               เราได้พูดคุย แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน ทำงานร่วมกัน เพื่อน ๆ ทุกคนอัธยาศัยดี มีความเป็นมิตร และมีจิตอาสากันทุกคน เด็ก ๆ ลูก ๆ ของเราได้เรียนรู้การทำงานจิตอาสาเพื่อชุมชน ใช้ชีวิตและทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ทำความสะอาดวัด เก็บเศษใบไม้เพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิง ทำความสะอาดศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เก็บเกี่ยวมันฝรั่ง กำจัดวัชพืชในท้องนา ฝึกจับปลาด้วยมือเปล่าที่ว่ายน้ำลงมาตามภูเขา ถึงแม้เพื่อนร่วมกลุ่มและเด็ก ๆ บางครอบครัวไม่สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจด้วยภาษาที่แตกต่าง ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อมิตรภาพไร้พรมแดนของพวกเรา

ในช่วงวันว่าง camp leader ได้พาพวกเราไปเที่ยวในเมือง เราได้ไปเยี่ยมชม Dinosaur Musium ที่เมือง Katsuyama ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมือง เด็ก ๆ ประทับใจในความสวยงาม และความยิ่งใหญ่อลังการของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มาก เราได้ไปชมหน้าผาจุดชมวิวชายฝั่งทะเล Tojinbo ที่สวยงาม และมีชื่อเสียง อากาศก็ร้อนสุด ๆ อุณภูมิเกือบ 36 องศาทีเดียว ตกเย็นเราได้ไปดูเทศกาลดอกไม้ไฟที่จะจัดขึ้นทุกๆปี ซึ่งเป็นเทศกาลในฤดูร้อนตามเมืองต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่น

และเมื่อวันจากลามาถึง ทาง camp leader สร้างความ surprise ให้พวกเรา ด้วยการเลี้ยงส่งอำลา farewell party ซึ่งเป็นอาหารเย็นที่ประทับใจฉัน และลูกชายเป็นที่สุด เราทานอาหารจากรางไม้ไผ่ผ่าซึก ที่จัดวางเป็นแนวสโลพ มีน้ำเย็นไหลผ่าน ตามมาด้วยคลื่นอาหารนานาชนิด ทั้งเส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม ปูอัด ไส้กรอก แครอท กล้วย เมลอน เยลลี่ ขนมต่าง ๆ อีกมากมาย เราใช้ตะเกียบแย่งกันคีบอาหารที่ตัวเองชอบ ลงใส่ในชามน้ำซุปหอม ๆ ช่างเป็นอาหารเย็นที่อร่อย สนุก และน่าประทับใจ หวังว่าฉัน และลูกชาย จะได้กลับมาเยือนที่นี่อีก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ที่มีหิมะสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมป่าสนเชียวชอุ่ม คงเป็นภาพที่งดงามจริง ๆ

การได้มาใช้ชีวิตในต่างแดน 7 วัน ในสถานะภาพอาสาสมัคร ไม่ใช่ในสถานะภาพนักท่องเที่ยวเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียวเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ทำให้ทริปการเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นของฉันและลูกชายครั้งนี้มีคุณค่ามาก ที่สำคัญทำให้เราตระหนักได้ว่า ไม่ว่าเราจะยืนอยู่บนที่ใดบนผืนโลก เราก็สามารถช่วยกันดูแลปกป้อง รักษาโลก และสิ่งแวดล้อมได้ในทุกๆที่ เราได้เรียนรู้วิถีชีวิตที่ดีงาม และน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างของคนในชุมชน ได้มิตรภาพจากเพื่อนใหม่ๆ ที่เดินทางจากคนละมุมโลก มาใช้ชึวิตและทำงานเพื่อส่วนรวมร่วมกันด้วยใจที่เป็นจิตอาสาจริง ๆ