Italy

HABITAT ECO VILLAGE camp by Parin

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมค่ายที่อิตาลี ค่ายอยู่ห่างจากเมืองเซอทาลโด (Certaldo) 30 นาที เซอทาลโดเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่น่ารักเมืองหนึง ในแถบทัสคานี มีปราสาทเมืองเก่าอยู่บนเนินเขาบรรยากาศดีน่านั่งทานอาหารมาก เรานัดเจอกันที่หน้าสถานีรถไฟ ตอนไปถึงมีผู้ร่วมค่ายรออยู่แล้วจากฝรั่งเศษ รัสเซีย และเกาหลี พอรถมารับก็ตกใจนิดหน่อยเพราะรถมันเล็กดูไม่น่าจะไปด้วยกันได้หมด (ประสบการณ์ที่ผ่านมามีรถตู้มารับ) แต่ละคนสัมภาระเยอะมาก โดยเฉพาะผู้ชายกระเป๋าใหญ่กว่าผู้หญิงเสียอีก สรุปแล้วรถต้องวิ่งสองเที่ยวจึงจะรับส่งอาสาสมัครทั้งหมดไปถึงค่ายได้

  พอไปถึงค่ายก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ระหว่างทางเดินเข้าสองข้างทางมีต้นมะกอก เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับเต๊นท์ที่กางเตรียมไว้ให้ โชคดีที่ได้พักภายในเต็นท์ขนาดใหญ่ มีที่วางของตรงกลาง และมีที่นอนด้านข้างรอบ ๆ ภายในเต็มท์มีอาสาสมัครพักร่วมกันกันสี่คน พอเข้าไปในเต้นท์ก็นึกได้ว่าเราไม่มีที่นอนยางปูก่อนวางถุงนอน ต้องเจ็บหลังแน่ ๆ เลย แต่ก็ช่างเถอะมาถึงนี่ทั้งทีแล้วมีอะไรก็นอนไป  ตอนนั้นที่ค่ายเป็นช่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย คืนแรกก็เจอฝนตกหนัก ทำให้น้ำเข้าเต็นท์ กระเป๋าเปียกจนต้องอพยบไปนอนในบ้านที่ยกพื้นสูง เป็นบ้านไม้สร้างเองซึ่งปกติจะเป็นที่สำหรับทานอาหาร และกับทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ ดังนั้น เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้ไม่สามารถนอนภายในเต็นท์ได้ โชคดีไป ฮิ ๆ ได้นอนพื้นไม้และมีเตียงพับได้ไว้ให้ใช้ หรือไม่ก็นอนโซฟาสบายไปอีกแบบ ฝนตกไปอีกสองวัน พอฝนหยุดผู้ดูแลถามว่าใครอยากกลับไปนอนเต็นท์บ้าง ซึ่งก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าไม่มีแน่นอน แต่ในบ้านเรามีครอบครัวหนูอยู่เป็นเพื่อนวิ่งเพ่นพล่านหาอาหารตลอดเวลา ในบ้านมีคนรัสเซียกลัวหนูจึงขอกลับก่อน เพราะนอนไม่หลับ แต่มันตัวเล็กน่ารักนะ

  ที่ค่ายนี้เรามาทำงานเก็บผลมะกอก ซึ่งมีทั้งหมดห้าร้อยต้น อายุตั้งแต่ห้าปีจนถึงร้อยกว่าปี ต้นมะกอกมีอายุยืนเป็นพัน ๆ ปี แต่ถ้าอากาศไม่ดีก็ทำให้มันตายได้โดยเฉพาะถ้าฝนตกมากเกินไป การเก็บผลมะกอกเป็นอะไรที่ง่ายมาก โดยการปูตาข่ายรอบ ๆ บริเวณต้น แล้วนำไม้เขี่ยให้ผลมะกอกตกลงมา ถ้ามันสุขเต็มที่แค่เขย่าต้นมันก็ร่วงลงมาแล้ว หลังจากนั้นก็โกยเข้ากระบะ กระบะละ25กิโลกรัม ผลมะกอกที่เก็บได้นี้จะนำไปทำน้ำมันมะกอกไว้ใช้เองในครัวเรือน หรือเป็นส่วนผสมในการทำสบู่ แชมพู ถ้าได้ผลผลิตเยอะก็จะนำไปขาย

            โดยปกติต้นมะกอกหนึ่งต้นจะให้ผลผลิตได้ถึง 50 กิโลกรัมขึ้นไป แต่ปีนี้ฝนตกหนักตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เราเก็บกันทั้งสวนได้แค่ 50 กิโลกรัมเอง จึงต้องไปช่วยงานอย่างอื่นแทน

           ช่วงฝนตกพวกเราก็เข้าบ้านไปปลูกต้นsage ในถาดหลุม โดยเริ่มจากเก็บใบไม้ที่ร่วงบนพื้นมารองก้นถาดหลุมก่อน หลังจากนั้นจึงใส่ดินเข้าไปในถาด เป็นกิจกรรมที่ทำสนุก ๆ ไปอีกอย่าง    วันที่อากาศดีพวกเราก็ไปเก็บอึลา เพื่อมาเป็นปุ๋ยให้ผักสวนครัวที่ปลูกไว้ มีฟักทอง ถั่ว หอมใหญ่ มะเขือเทศ ลาเป็นสัตว์ที่น่ารักมาก เป็นมิตรแล้วอึก็ไม่มีกลิ่นด้วย การเก็บอึลาเลยไม่เป็นอะไรที่ลำบากเลย

  หรือบางวันก็เข้าป่าตัดไม้มาทำฟืนเพราะอากาศเริ่มเย็นแล้ว มีเก็บลูกเมียร์โต (mirto) ไว้ทำเหล้าดื่มแก้หนาว ลูกเมียร์โต 600 กรัมผลิตเหล้าได้3 ลิตร

  ทุกคนมีหน้าที่ทำอาหารสองครั้งในค่ายโดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป การทำอาหารนี้เสมือนเป็นการนำเสนออาหารชาติตัวเอง ที่นี่เรามีพ่อครัวฝึกหัดสองคนจากซิซิลี พวกเขาอยากจะทำทุกมื้อแต่เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะจะเป็นการเอาเปรียบกัน การทำอาหารเป็นงานเบาที่สุดในค่ายตามความรู้สึกของเรา แต่การหาส่วนผสมกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นควรจะเตรียมมาจากประเทศของตนเองให้พร้อม ขนาดว่าเราเตรียมเครื่องปรุงมา ซื้อเพียงเนื้อสัตว์เพิ่ม ก็เป็นอะไรที่ยาก ไม่ใช่เพราะหายาก แต่เพราะมันแพง ที่นี่เค้าไม่ค่อยซื้อกินกัน อยู่ค่ายนี้นาน ๆ คงกลายเป็นมังสวิรัติไปโดยปริยาย และถ้าหากไม่มีคนคุมการทำอาหารก็ยากที่จะกะปริมาณอาหารสำหรับคน 12 คน

  อาหารที่เราทำกินกันไปได้ถึงสามมื้อ กลัวทำน้อยแล้วจะไม่อิ่ม แต่เราก็จะถามปริมาณข้าวที่ต้องหุงก่อนทำ ที่นี่ไม่มีหม้อหุงข้าว ใช้หม้อตั้งไฟเอา ส่วนใหญ่คนยุโรปเค้าจะชอบอาหารที่ไม่เผ็ดแต่ถ้าเป็นคนเกาหลีจะถูกปากมาก คนเอเชียจะชอบเหมือนกันมองตากันก็รู้ว่าฟินมาก ก็อาหารฝรั่งมีแต่รสจืด ๆ ทานแค่อิ่ม แต่ไม่สะใจลิ้น

  การอยู่ที่นี่ก็เป็นการฝึกเรื่องกินว่าเรื่องมากไม่ได้ ไม่กินก็อด บางทีก็ทานไม่อิ่ม ได้แต่มองหน้ากัน แต่บ่นไม่ได้ เพราะทุกคนประหยัด เรามาเข้าค่ายเพื่อศึกษาความเป็นอยู่ด้วยว่าอยู่แบบพอเพียงเป็นยังไง กินเพื่ออยู่ไมใช่อยู่เพื่อกิน

  ช่วงเวลาว่างระหว่างวันมีเยอะก็ต้องหาอะไรทำไม่งั้นเบื่อแย่เลย บางคนนอน บางคนเล่นตีกลอง รบกวนคนนอน บางคนต้องหนีไปนั่งกับลาเพราะหนวกหูเสียงกลอง ถ้าช่วงเย็นหลังอาหารเราจะเล่นเกมกัน แล้วแต่ว่าชาติไหนจะเอาอะไรมานำเสนอ แต่นอนไม่ดึก และไม่ตื่นเช้า มำให้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ทำงานวันละ 6 ชั่วโมง เช้า 3 ชั่วโมง แล้วก็พัก 3 ชั่วโมง มาต่อช่วงบ่ายอีก 3 ชั่วโมง

  เรามีวันหยุดหนึ่งวัน ใครอยากไปไหนก็แล้วแต่ใจเราไปเมืองเซียนา (Sienna) เป็นเมืองท่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่งในแถบทัสคานี เดินวันเดียวพอ ไม่ใหญ่มาก ไม่ต้องใช้แผนที่ นั่งรถไฟไปได้ แต่ถ้าเดินทางวันอาทิตย์ควรจะเช็คตารางรถไฟล่วงหน้าเพราะเป็นวันหยุดของประเทศรถไฟมีไม่บ่อยเหมือนทุกวัน ร้านค้าส่วนใหญ่จะปิด แต่จะมีตลาดวันอาทิตย์แทน มีของพื้นเมือง อาหารพื้นเมือง

  งานอีกอย่างที่เราทำหลังวันหยุดคือ สร้างเตาถ่านจากวัสดุธรรมชาติ พวกเราต้องไปขุดดิน ขนหิน โดยหาตามพื้นตัดหญ้ารอบ ๆ บ้านพัก ขนทราย ขนน้ำมาเป็นส่วนผสมในการทำ เอาดินมาขูดกับตะแกงเพื่อแยกหินออกจะได้ส่วนผสมที่เนียนดีต่อการยึดติด ส่วนตัวเราเคยไปสร้างห้องสมุดดินที่อยุธยา ซึ่งพื้นฐานการทำมันเหมือนกัน ไม่ยาก แค่เหนื่อยกับการขนส่วนผสมเพราะมันไม่ได้อยู่ใกล้กับที่จะสร้าง บางคนไม่อยากเลอะโคลนบางคนไม่อยากขุดดินก็มีคนอาสาทำแทน เพราะเราจะเปลี่ยนงานกันไปเรื่อย ๆ งานมันหนักเบาไม่เท่ากัน เราทำได้ทุกอย่าง แต่ชอบทำงานหนักมากกว่า ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว งานเบาทำแล้วจะหลับ

  เราสร้างครัวเสร็จวันสุดท้ายตอนบ่าย ๆ มีเวลาพักผ่อนก่อนอาหารมื้อสุดท้ายร่วมกัน เป็นมื้อที่ดีที่สุด มีบาบีคิวไส้กรอกกับไก่ทานคู่กับไวน์แดง ปกติค่ายที่นี่ห้ามดื่มของมึนเมาแต่วันสุดท้ายต้องฉลองหน่อยกับความสำเร็จในงาน และการลาจาก อาจจะพบกันอีกหรือไม่เราไม่รู้ รู้แต่ว่าเราได้ความรู้ ได้เพื่อนใหม่ ได้เรียนรู้ต่างวัฒนธรรม ได้ประสบการณ์ในดินแดนต่างถิ่นที่หาที่ไหนไม่ได้ เมื่อเรามีโอกาสก็ไม่ควรพลาดจริง ๆ นะจะบอกให้

ภารินทร์  เจริญชนาพร